วันนี้คุณนายจะรบ

เป็นความน่ารักของพ่อลูกและครอบครัวเถิดเทิงจริงที่ได้มีพ่อ แบบคุณเท่งที่ช่วงนี้ลูกสาวกำลังโตและสวยน่ารักเลย จำเป็นต้องหวงและคิดถึงอยู่บ่อย ช่วงนี้เราจะได้เห็นภาพความน่ารักของทั้งคู่อีกบ่อยแน่นอนไปดูความคิดถึงของพ่อเท่งกันเลย

ลูกกลับจากโรงเรียน พุ่งเข้าหอมแก้มทันที น่ารักมาก


มาดูคลิปกันเลย
ทีมา ;http://khaosoklab.blogspot.com/2017/06/blog-post_75.html

 ในห้องขังหมายเลข 412น.ส ปรียานุช โนนวังชัยหรือเปรี้ยวไม่ออกไปรายงานตัวในเวลาที่กำหนดของทางเรือนจำ เจ้าหน้าที่จึงเข้ามาตรวจสอบภายในห้องขัง พบ สาวเปรี้ยวนอนอยู่ที่พื้น ลำคอมีเสื้อของนักโทษพันรอบคออยู่ ร่างกายไม่พบบาดแผลใดๆ ใต้ที่นอนพบจดหมายเขียนด้วยข้อความสั้นๆว่า ”ขอโทษ ขอไปใช้กรรมบนสวรรค์” คาดว่าผู้ต้องหาต้องการจะผูคอตายในห้องขังแต่เสื้อขาดก่อนทำให้ตกลงมาก่อน แค่หมดสติไป เจ้าหน้าที่จึงแจ้งทีมแพทย์เข้าช่วยเหลือทันที

 เจ้าหน้าตำรวจสอบถามผู้คุมเรือนจำและเพื่อนผู้ต้องหาพบว่า สาวเปรี้ยวมีอาการเครียดจัดที่รู้ว่าจะต้องโดนจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตจึงทำใจไม่ได้ก่อนหน้านี้ได้สั่งลากับเพื่อนสนิทแล้วว่า อยากฆ่าตัวตาย อยากไปใช้กรรมบนสวรรค์ไม่อยากมีชีวิตที่ลำบากแบบนี้ในคุก ประกอบกับหลักฐานในห้องขังเชื่อได้ว่าผู้ต้องหาคิดฆ่าตัวตาย




ทางเจ้าหน้าที่เรือนจำได้ประสานงานไปทีมจิตแพทย์เพื่อเข้ารักษาผู้ต้องหาไม่ให้คิดฆฆ่าตัวตายแบบนี้อีกต่อไป
ทีมา ;http://yimpos.blogspot.com/2017/06/blog-post_9.html

ความคืบหน้าคดีฆ่าหั่นศพ โดยมี น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว พร้อมด้วยเพื่อนคือ น.ส.กวิตร ราชดา หรือ เอิร์น และ น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต หรือ แจ้ 3 ผู้ต้องหาร่วมกันฆ่าหั่นศพ น.ส.วริศรา

กลิ่นจุ้ย หรือ แอ๋ม หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรอำเภอเขาสวนกวาง ได้นำผู้ต้องหาทั้งหมดทำแผนประกอบคำรับสารภาพเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดย“เปรี้ยว”ได้กราบขอขมาต่อญาติของ“น้องแอ๋ม”และบอก ว่า “ไม่ได้มีเจตนา และไม่ได้ตั้งใจฆ่าน้อง” ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เรื่องนี้ น.ส.วรพรรณ เบญจวรกุล ทนายความที่เฝ้าติดตามคดีนี้อย่างต่อเนื่อง กล่าวว่า หลังจากดูการทำแผนและคำให้การของ“เปรี้ยว”ผ่านสื่อทีวี ที่ระบุว่า ไม่ได้ตั้งใจฆ่า“แอ๋ม”นั้น ตนมองว่า ไม่น่าจะใช่ เพราะหากดูจากพยานหลักฐาน ทั้งการเตรียมเชือกมามัดมือมัดเท้า รวมไปถึงที่มีข้อมูลจากการสอบปากคำว่าใช้ถุงดำคลุมหัวแอ๋มในตอนขึ้นมาบนรถ แสดงให้เห็นว่าทั้งหมด รวมทั้งเปรี้ยว ได้มีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เจตนาและตั้งใจทำให้ตาย

 รวมไปถึงหากดูจากเฟสบุ๊คของเอิร์นที่โพสต์ในชื่อ“เอริ์น สวยสามจี อัปปีทั้งชาติ” จะเห็นว่ามีการโพสต์ข้อความหลังจากแอ๋มเสียชีวิตว่า “ตั้งใจจะบดให้ละเอียด” แสดงว่าทั้งหมดได้มีความโกรธแค้นและทำร้ายแอ๋มอย่างโหดร้าย ซึ่งความจริงการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวชของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ น่าจะต้องมีการพิสูจน์ว่า แอ๋มถูกหั่นก่อนเสียชีวิต หรือ หั่นหลังเสียชีวิตแล้ว

“ยิ่งตามไปดูในเฟสบุ๊คของทั้งเปรี้ยวและแอ๋ม ประกอบกับคำให้การของทอมที่เป็นคนสนิทแอ๋มยิ่งน่าสงสัยว่า ในเวลา 06.30 น.ที่ผู้ต้องหาให้การว่าเข้าพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งนั้น แอ๋มยังคุยโทรศัพท์กับทอมอยู่ นั่นแสดงว่าเวลานั้นยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งตรงกับเวลาที่บอกว่าเขาไปพักที่รีสอร์ต การสอบสวนควรจะสอบให้ลึกลงไปว่า จริงๆแล้ว แอ๋มถูกฆ่าที่รีสอร์ต หรือ ถูกทำให้หมดสติบนรถกันแน่ และอาจจะเป็นไปได้ว่าระหว่างที่หั่นศพนั้นแอ๋มยังไม่ตาย เพราะมีร่องรอยของห้องน้ำในรีสอร์ตบอกว่าเหล็กอ่างล้างหน้าพังเสียหาย อาจจะมีการต่อสู้กันในห้องน้ำรีสอร์ต หรืออย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ต้องการความกระจ่าง” น.ส.วรพรรณ กล่าว


นอกจากนั้น ยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า มีภาพบางส่วนที่หลุดออกมามีภาพผ้าเช็ดตัว หน้ากากอนามัย 5 ชิ้น และถุงมือ 5 คู่ พร้อมถึงพลาสติกและอื่นๆ หากสิ่งของเหล่านั้นเป็นสิ่งของที่พบในคดี ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดร่วมกันหั่น ร่วมกันฆ่า เพราะมีการใช้ถุงมือและผ้าปิดปากครบทุกคน และคงไม่ใช่เปรี้ยวคนเดียวที่หั่นศพตามคำให้การของวศิน และ พี่สาวของเปรี้ยวก่อนหน้านี้

ชมคลิป
ทีมา ;http://hueythairoth.blogspot.com/2017/06/blog-post_79.html

 เหตุนี้เกิดขึ้นเมื่อ 30 กว่าปีก่อน บนถนนใน กทม. มีรถคันหนึ่ง ได้ขับไปบนถนนเส้นนั้นโดยในรถคันดังกล่าว มีเพียงชายผู้หนึ่งที่กำลังขับรถอยู่เพียงคนเดียวและในระหว่างทางที่ขับไปนั้น

 พระเจ้าอยู่หัว ทรงติดไฟแดง ชายดังกล่าวได้จอดรถแวะข้างทางเพื่อซื้อกาแฟ 1 ถุง และได้ออกรถไปจนกระทั่งขับมาถึงสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง ชายดังกล่าวก็ได้จอดติดไฟแดงอยู่ จนมีรถตำรวจคันหนึ่งซึ่งขับนำรถเบนซ์มาได้บีบแตรไล่รถที่ชายผู้นั้นจอดติดไฟแดงอยู่นั้นให้ถอยไป
…และรถตำรวจยังได้พูดผ่านไซเรนว่า นี่เป็นรถนำขบวนรัฐมนตรี ให้รถของชายดังกล่าวหลบไป แต่รถของชายผู้นั้นก็ไม่หลบให้ จนกระทั่งตำรวจได้ลงจากรถมาที่รถของชายดังกล่าวและเรียกให้ชายผู้นั้นลงจากรถ พอชายผู้นั้นได้ลงมาจากรถ ตำรวจที่ได้เห็นชายคนนั้นถึงกลับเป็นลมล้มทั้งยืน สร้างความตกใจให้แก่ตำรวจอีกคนที่นั่งอยู่ในรถ จนต้องวิ่งลงมาดูพร้อมกับรัฐมนตรี พอตำรวจและรัฐมนตรีมาถึง ทั้งคู่ได้เห็นชายดังกล่าว ทั้งตำรวจและรัฐมนตรีได้นั่งลงไปกับพื้นทันที เสมือนกับว่าขาทั้งสองข้างได้อ่อนแรงลงไปทันใด
…และได้เงยหน้ามองดูชายซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าตนด้วยอาการตัวสั่น ชายคนนั้นที่ทั้งคู่ได้เห็น เป็นชายที่มีรูปอยู่บนธนบัตร คือ ในหลวงองค์ปัจจุบันนั่นเอง
ในหลวงได้ตรัสถามรัฐมนตรีและตำรวจติดตามว่า
“พวกท่านจะรีบไปไหนหรือถึงกับจะต้องฝ่าไฟแดงข้าพเจ้ายังรอติดไฟแดงได้เลย” รัฐมนตรีไม่ตอบได้แต่นั่งตัวสั่นและกราบลงบนพระบาทและในหลวงก็ได้ทรงขึ้นรถ ตำรวจที่นำขบวนรัฐมนตรีมานั้นก็ได้ทูลว่า “ให้ข้าพระพุทธเจ้าขับรถนำรถพระที่นั่งของพระองค์ไปมั้ยพุทธเจ้าข้า”
ในหลวงตรัสว่า “เราไม่ต้องการให้ท่านมานำขบวนรถเราหรอก เราขับไปเองคนเดียวได้ ท่านไปนำรถของท่านรัฐมนตรีเถอะ” และในหลวงก็ได้ทรงขับรถออกไปจากสี่แยกนั้น โดยไม่ได้มีรถตำรวจนำไปแต่อย่างใดเลย“
ข้อคิด ที่ได้จากเรื่องนี้ แม้ทรงเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่ก็ทรงเคารพระเบียบวินัย และกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างที่ถูกต้องให้ประชาชนได้ปฎิบัติตาม เพื่อความมีวินัยของจราจรบนท้องถนน

“ทรงพระเจริญ”
“ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
ข้าราชบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาท
(ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเหตุการดังกล่าว)
ทีมา ;https://www.gatorza.com/68

เรียกได้ว่าไม่อยากจะเชื่อเลยทั้งประเทศ เพราะ ล่าสุดทาง อีจัน ได้ออกมาเผย ถึงปมแค้นที่แท้จริงว่า

จริงๆ แล้ว สาวทั้งสามคน เปรี้ยว เอิร์น และ แอ๋ม ได้เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน!

โดยแฟนทอม ได้ออกมาเผยถึงความแตกหัก ของ เพื่อนทั้ง 3  ว่าก่อนหน้าที่เกิดเหตุ แอ๋ม และตน ทำเคยถูกจับคดีเสพยาไอซ์ ซึ่งเป็นคดีที่ใหญ่มาก เพราะมันเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเมื่อได้ถูกจับกุมแล้ว
ทางตำรวจก็ได้ซักทอดเธอว่าเอายาไอซ์นี้มาได้อย่างไร เธอจึงสารภาพวว่าเอามาจาก เปรี้ยว นั่นเอง และหลังจากถูกจับ พวกเธอก็ได้แยกย้าย หายไป 1 ปี และก็ได้เกิดเหตุฆาตกรรมล้างแค้นกันในที่สุด

ชมคลิป
ทีมา ;http://khaosudee.blogspot.com/2017/06/blog-post_693.html?m=1

ทีมา ;https://liklottohot819.blogspot.com/2017/06/9_9.html

จากกรณี เมื่อกลางดึกวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา นายสุธีร์ สำรวมใจ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13 หมู่ 19 ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ได้ถูกงูจงอางตัวเขื่องกัดที่ขาขวา ขณะเลื้อยเข้าไปในบ้านไร่ไม่มีเลขที่ ทางทิศตะวันตกของวัดป่านานาชาติ ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี และได้มีการต่อสู้จนสามารถฆ่างูตัวดังกล่าวได้ ก่อนจะจับงูยัดใส่กระสอบปุ๋ย นำไปให้แพทย์ดูเพื่อรักษานั้น

ความ คืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 มี.ค.59 ผู้สื่อข่าวสอบถามอาการกับ นายจำปา สำรวมใจ อายุ 74 ปี ผู้เป็นพ่อ แจ้งว่า นายสุธีร์ ลูกชาย ซึ่งนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องอายุรกรรม 1 ไอซียู โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อ.เมืองอุบลราชธานี โดยตอนนี้อาการยังทรงตัว ไม่ได้สติ แพทย์รักษาด้วยการฉีดเซรุ่ม และผ่าตัดบาดแผลบริเวณน่องขาขวาที่ถูกงูกัดเพราะพิษงูทำให้เนื้อบริเวณนั้น เน่าแล้ว ตนต้องค่อยเฝ้าติดตามอาการเป็นระยะๆ เนื่องจากอาการยังไม่พ้นขีดอันตราย ได้แต่ภาวนาขอให้ลูกชายปลอดภัย
 ขณะ ที่ นางศรี สำรวมใจ อายุ 76 ปี แม่นายสุธีร์ ยังเล่าเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุให้ฟังด้วยว่า คืนวันที่ 17 มี.ค. เวลาประมาณ 23.00 น. ตนกำลังพักผ่อนอยู่ในบ้านไร่ ที่เกิดเหตุ กับนายสุธีร์ ลูกชาย แค่ 2 คน เพราะเลี้ยงวัว และไก่ไว้หลายสิบตัว ระหว่างนั้นหมา 3 ตัวที่เลี้ยงไว้ส่งเสียงเห่าอย่างรุนแรง นายสุธีร์ลูกชายจึงออกมาดู ก็พบงูกำลังเลื้อยหนีไปทางคอกไก่ ด้วยความกลัวว่างูจะไปกัดไก่ อีกทั้งนายสุธีร์เป็นคนชอบจับงู ไม่เคยกลัว และน่าจะคิดว่างูดังกล่าวเป็นงูสิงห์ดง น่าจะไม่มีพิษ จึงรีบวิ่งไปเหยียบและดึงหางงูไว้ งูจึงตวัดมากัดเข้าที่น่องขาขวานายสุธีร์ แต่นายสุธีร์ก็ไม่ยอมปล่อยงู กลับต่อสู้กับงูตัวเขื่อง จับมันฟาดกับพื้นจนมันขาดใจตาย และยังเอายางในล้อรถมามัดปากงูจับใส่ถุงปุ๋ยมาโชว์ พร้อมบอกว่า “ของแท้ๆ ตนฆ่างูจงอางได้” แต่สักครู่ นายสุธีร์ก็บอกว่ารู้สึกขากรรไกรชา น่าจะเพราะงูกัด จึงรีบขับขี่รถยนต์กระบะอีซูซุ สเปซแค็บ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน กพ 1291 อุบลราชธานี กลับเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อขอเงินกับนายจำปา ผู้เป็นพ่อ จำนวน 1,000 บาท บอกว่าจะเอาไปฉีดเซรุ่ม ที่โรงพยาบาลวารินชำราบ โดยเป็นคนขับรถไปเอง กับหลานอีก 1 คน พร้อมกระสอบใส่งูจงอางตัวเขื่อง จนถึงโรงพยาบาลนายสุธีร์ก็สลบไป ซึ่งพิษงูกระจายเข้าร่างกาย ต้องรีบส่งต่อมารักษาที่โรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ โดยแพทย์พยาบาลต่างตกใจ ที่คนไข้เอางูจงอางตัวเขื่องมาด้วย ก่อนจะมอบให้ญาตินำกลับไปต่อ มาผู้สื่อข่าว ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบภายใน ศาลาการเปรียญใหญ่ วัดบ้านบุ่งหวาย ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี หลังชาวบ้านได้นำงูจงอางตัวใหญ่วัดได้ 3.8 เมตร น้ำหนักกว่า 8 กิโลกรัม ที่นายสุธีร์ฆ่าตาย มาเก็บรักษา โดยชาวบ้านต่างเห็นว่า งูจงอางตัวดังกล่าวน่าจะเป็นงูเจ้าที่ เพราะมีขนาดที่ใหญ่มาก อีกทั้งลำตัวยังอ่อนน่าจะเพิ่งลอกคราบออกมาได้ไม่นาน ต่างไม่กล้าเอาไปทำลาย จึงนำงูจงอางตัวนี้มาแช่ดองไว้ในตู้ปลา ให้ชาวบ้านและลูกหลานได้ดู ซึ่งชาวบ้านต่างเดินทางมาดูงูจงอางตัวนี้จนแน่นบริเวณวัดไม่ต่างกับมีงานบุญ ประเพณี และต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นงูจงอางในหมู่บ้านมาก่อน เป็นครั้งแรกในชีวิต และยังตัวใหญ่มากด้วย ขณะที่นักเสี่ยงโชคต่างพากันมองหาตัวเลขจากเกล็ดงู หวังนำไปซื้อหวยเสี่ยงดวง


สอบ ถาม นางน้อย จันทราวงศ์ อายุ 52 ปี ชาวบ้านบุ่งหวาย ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี หนึ่งในกลุ่มชาวบ้านที่มาดูงูจงอาง เล่าว่า เกิดมาตนก็เพิ่งเคยเห็นงูจงอางเป็นครั้งแรกและยังตัวใหญ่มากด้วย ชาวบ้านจึงไม่มีใครกล้าเอาไปทำลาย ต่างพากันรวบรวมเงินมาซื้อตู้ปลาและน้ำยาดองงูไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษา พร้อมต่างเรียกนายสุธีร์ว่า เป็นคนสู้งู เพราะปกติใครเห็นงูก็จะวิ่งหนี แต่นายสุธีร์กลับวิ่งใส่งูและฆ่างูจนตายด้วย อีกทั้งถูกงูจงอางกัดก็ยังไม่ตาย ขับรถไปหาหมอเองได้ ขณะที่ชาวบ้านบางคนก็มาหาดูเลขตามเกล็ดงู ก็บอกว่าเห็นอักขระเหมือนมีเลข 120 แล้วจะนำไปเสี่ยงโชคในวันที่ 1 เม.ย.59 นี้ด้วย


ชมคลิป

**หมายเหตุ ในบางกรณี เป็นสื่อกลางในการรวบรวมบทความ และนำเสนอข้อมูลที่มีอยู่แล้วในสื่อต่างๆ โดยเราจะอ้างอิง ให้เครดิต ถึงแหล่งที่มาในทุกๆ ครั้งไป
ทีมา ;http://kwamsukz.com/6006/